วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

เมื่อฉันเป็นมะเร็ง (ต่อ1)

จนวันหนึ่ง สัญชาตญาณของความรักตัวกลัวตายหวงแหนชีวิตเริ่มทำงาน ตราบใดที่พอจะมีทางรอด ก็ต้องเสาะแสวงหา ต่อสู้ดิ้นรนให้ถึงที่สุดจนกว่าลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง  ฉันนั่งคิดตรึกตรองดูแล้ว ฉันจะตายไม่ได้  ฉันต้องต่อสู้กับมะเร็งและอยู่กับมะเร็งอย่างมีความสุข ฉันต้องไม่ท้อแท้-สิ้นหวัง ฉันซื้อหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพมาอ่าน เพื่อให้เข้าใจถึงการปฏิบัติตัวมากขึ้น ตัวแทนขายอาหารเสริมเริ่มวนเวียนเข้ามาในชีวิต แต่สิ่งเหล่านี้ฉันไม่ได้สนใจเลย สิ่งที่ฉันหันเหเข้าหา กลับกลายเป็นสิ่งเสพติดที่ฉันขาดไม่ได้  นั่นคือ การออกกำลังกาย ก่อนนั้น ฉันคิดว่าตัวเองไม่มีเวลาไปออก-กำลังกาย (ที่จริงขี้เกียจมากกว่า) วันที่ฉันเริ่มไปออกกำลังกายเป็นวันแรกที่ทุกคนทั่วประเทศพร้อมใจกันสวมเสื้อเหลืองไปออกกำลังกาย ทำดีเพื่อในหลวงของเรา ทุกคนทุกหมู่บ้านไปพร้อมหน้ากัน ต่างก็เต็มใจเต้นแอโรบิก  เสียงเพลงดังกระหึ่ม

ไปทั่วสนาม ทุกคนต่างก็โยกซ้ายโยกขวาตามผู้นำ ฉันเริ่มสนุกกับการออกกำลังกายทุก ๆ เย็น เพื่อเสริมสร้างสุขภาพของตัวเอง โดยที่ก่อนหน้านั้นฉันไม่เคยออกกำลังกายเลย ตั้งแต่สำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพมี นโยบายรณรงค์ให้ประชาชนร่วมใจออกกำลัง-กายเพื่อสุขภาพ ฉันก็เริ่มเข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่ง ฉันเริ่มสนุก ลืมว่าเราเคยป่วย วันแรก ๆ ที่ออกกำลังกาย ปวดเมื่อยไปทั้งตัว แต่ฉันก็ ไม่ท้อ เพราะกลัวตายนี่นา พอหลาย ๆ วันเข้า เริ่มสนุก มีเพื่อน ๆ อีกมากมายที่รักสุขภาพ ต่างร่วมใจกันมาออกกำลังกาย เต้นแอโรบิก และที่น่าพอใจก็คือ ฉันได้ชักชวนพี่ ๆ น้อง ๆ มาร่วมออกกำลังกายกันทุกเย็น วันละ 50 นาที สุขภาพดีไม่มีขายจริง ๆ จากสมาชิก เริ่มแรกเพียง 20 คน เดี๋ยวนี้มีเกือบ 100 คน เพราะได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลตำบลทั้งเครื่องเสียง ทั้งผู้นำเต้น ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองไปมาก ๆ จากที่เคยท้อแท้ในชีวิต ทั้งเรื่องสุขภาพ ครอบครัว ไม่อยากพบปะผู้คน และที่สำคัญที่สุด เวลา ที่อยู่คนเดียว ฉันเคยคิดทำร้ายตัวเองมาก่อน (เกือบไปแล้ว !) ฉันคิด และคิด แล้วเขียนความในใจลงในบันทึกว่า ฉันจะตายไม่ได้ ฉันต้องอยู่ ฉันต้องแกร่ง ต้องต่อสู้กับโรคร้าย ต้องเปลี่ยนนิสัยการกิน ฉันเชื่อว่านั่นคงเป็น สาเหตุสำคัญแน่นอน

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น