วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

เมื่อฉันเป็นมะเร็ง

ทันที่รับรู้ว่าเป็นมะเร็ง ฉันแทบไม่เชื่อคำพูดของหมอ ทั้ง ๆ ที่ฉันร่างกายแข็งแรงมาตลอดไม่เคยเจ็บออด ๆ แอด ๆ ฉันเคยคิดว่าฉันโชคดีที่สุดที่ไม่เคยไปหาหมอบ่อย ๆ แต่ที่ไหนได้ เจอกับตัวเองจนได้... วันที่ฉันต้องรับยาเคมีบำบัด ฉันสุดแสนจะทรมาน ปวดร้าวไปหมดทั้งร่างกายร่างกายฉันเริ่มอ่อนแอ คลื่นไส้  ไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไรเลย มันอ่อนล้าไปหมด รับประทานอาหารอะไรก็ไม่ได้ รู้สึกพะอืดพะอม อาเจียนออกมาหมด ฉันเหมือนคนสิ้นหวัง เบื่อหน่ายตัวเองเกิดความท้อแท้ในชีวิต ผมร่วงเป็นกระจุก ๆ หน้าตาดำคล้ำ ผิวแห้งแตก ปากคอแห้งผาก ฉันเกิดความกลัวตายขึ้นทันที คิดว่าจะต้องตายจากลูก ๆ และสามี ฉันสวดมนต์ไหว้พระอธิษฐาน ขอให้ฉันเห็นอนาคตของลูก ฉันยังไม่อยากตาย ฉันกลัว... กลัวที่จะต้องจากครอบครัวไปด้วยวัยเพียง 45 ปีเท่านั้น... ถึงคราวที่ฉันต้องไปจริง ๆ หรือนี่...  ฉันคิด และคิด

วันที่ฉันต้องเดินทางไปหาหมอ ฉันออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ ใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชั่วโมง เพื่อพบหมอและรักษาด้วยเคมีบำบัดถึง 12  เข็ม ฉันต้องทนทุกข์ทรมาน ใช้เวลาเกือบปี ทุกครั้งที่เข้ารับการฉีดยา  ฉันมีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังใช้กรรมแบบผ่อนส่งไป เรื่อย ๆ พอใกล้เข็มสุดท้าย ฉันเริ่มมีกำลังใจดีขึ้น และเมื่อถึงเข็มสุดท้าย ฉันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก มันโล่งใจ นาทีนั้นฉันมีความสุขมาก ๆ ถึงแม้จะต้องผ่าตัดเต้านมทิ้งไป แต่ลึก ๆ แล้ว ฉันรู้สึกเสียดายที่สูญเสียของรักของหวง พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำใจรับการเสื่อมสลายของสังขารไม่ได้ ฉันเคยคิดที่จะไม่อยากเป็นภาระกับครอบครัว เพราะเกิดความท้อแท้ในชีวิต ยิ่งฉันเป็นคนรักสวยรักงาม เห็นสภาพตัวเองแล้วทำใจไม่ได้  ใจเริ่มท้ออีกแล้ว... ใจหนอใจทำไมว้าวุ่น  วิตกกังวล... หมอบอกฉันให้นั่งฝึกสมาธิ ทำจิตใจให้สบาย อย่าเครียด อย่าวิตกกังวล อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ต้องยอมรับตัวเราเอง ฉันเริ่มทำสมาธิแต่จิตใจก็ยังฟุ้งซ่านอยู่ดี ใจหาย... นี่ฉันต้องจากโลกนี้จริงหรือนี่ ยิ่งหมอบอกว่า  อยากรับประทานอะไรก็ทาน แต่ไม่ควรทานเนื้อสัตว์ ให้ทานเนื้อปลาเน้นประเภทผัก - ผลไม้มาก ๆ

อยากไปเที่ยวที่ไหน ๆ ก็ไป ฉันสรุปเอาเองว่า ฉันคงอยู่ได้ไม่นาน ความรู้สึกในตอนนั้นบอกไม่ถูก ใจหาย เสียดาย ซึมเศร้า ฉันต้องตายหรือนี่... ไปทำบุญวัดโน้นวัดนี้ เพื่อขอส่วนบุญให้กับตัวเอง ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องพบเจอสิ่งเลวร้ายในชีวิตแบบนี้ ยิ่งไปพบเพื่อนที่ร่วมชะตากรรมด้วยกัน ต่างก็หันหน้าปรับทุกข์ ระบายความคับ-ข้องใจให้กันฟังระหว่างที่รอหมอ คนเหล่านั้นค่อย ๆ หายจากไปทีละคนสองคน ฉันมารู้ทีหลังว่า เขาเหล่านั้นเสียชีวิตแล้ว ยิ่งเศร้าใจ... 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น