สธ.ตั้งเมืองศูนย์กลางสุขภาพอาเซียน 5 จังหวัดรองรับประชาคมอาเซียน
นพ.ประดิษฐ รมว.สธ. กล่าวถึงการเตรียมพร้อมระบบบริการสาธารณสุขในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ว่าได้วางแผนไว้ 2 ระดับ คือ 1. การพัฒนาระบบบริการในภาพรวมของประเทศ ได้แบ่งออกเป็น 12 เขตบริการ
สุขภาพ เพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ลดการลงทุนซ้ำซ้อน
โดยให้แต่ละเขตบริการวางแผนการใช้ทรัพยากรร่วมกัน
ทั้งเครื่องมือและบุคลากร 2. เตรียมจัดตั้งเมืองศูนย์กลางสุขภาพอาเซียน กำหนดไว้ 5 จังหวัด
คือ ภาคเหนือที่ จ.เชียงราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.อุบลราชธานี
ภาคใต้ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ภาคตะวันออกที่ จ.จันทบุรี และภาคตะวันตกที่
จ.กาญจนบุรี นอกจากนี้ ได้เตรียมพัฒนา รพ.ชายแดน 50 แห่ง เพื่อรองรับประชาชนแนวชายแดนที่จะข้ามพรมแดนเข้ามาใช้บริการด้วย
(กรมประชาสัมพันธ์,สำนักข่าวไทย)
สธ.เผยตัวเลขผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก
นพ.ณรงค์ ปลัด สธ. กล่าวถึงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปีนี้ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 5 ก.พ.ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยแล้ว 5,739 คน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงกว่า 5 เท่า โดยมีผู้เสียชีวิต 4 คน และมีแนวโน้มว่าผู้ป่วยอาจสูงขึ้น 100,000-120,000 คน ที่สำคัญผู้ป่วยร้อยละ 90 จะไม่มีอาการแสดง ทำให้ยากต่อการวินิจฉัยโรค อาจเกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ ดัง
นั้น ได้สั่งการให้ สสจ.ทุกจังหวัด
เร่งตัดวงจรยุงลายก่อนถึงฤดูกาลระบาดของโรค
โดยเฉพาะในโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็ก ขณะเดียวกัน สธ.ได้เปิดวอร์รูม
วางมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออก
เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยให้เหลือน้อยที่สุดและป้องกันการเสียชีวิตให้ได้มากที่
สุด (กรมประชาสัมพันธ์)
สธ.ห่วงวัยรุ่นในวันวาเลนไทน์
นพ.สมศักดิ์ รอง
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ช่วงวันวาเลนไทน์ของปีที่ผ่านมา
พบเยาวชนอายุระหว่าง 18-25 ปี มีเพศสัมพันธ์สูงถึงร้อยละ 16
ในจำนวนนี้มีปัญหาท้องไม่พร้อมสูงถึงร้อยละ 80 โดยพบว่าร้อยละ 30
ตัดสินใจทำแท้ง ขณะเดียวกันพบวัยรุ่นไทย เป็นชาย ร้อยละ 50 และหญิง ร้อยละ
40 ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์
และในกลุ่มชายรักชายมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวี
มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งทวารหนักถึง 6 เท่า หากไม่ใช้ถุงยางอนามัย
ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคจะรณรงค์การใช้ถุงยางอนามัยในวันที่ 14 ก.พ.นี้
พร้อมตรวจหาเชื้อเอชไอวีฟรี ในผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไปด้วย (ทีวีช่อง สทท)
อย.แจง “ยาไดแอน-35” ที่มีส่วนเกี่ยวโยงการเสียชีวิตหญิงฝรั่งเศสยังไม่เคยพบในไทย
นพ.บุญชัย เลขาธิการ อย. กล่าวถึงกรณีมีข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์รายงานว่าสำนักงานความปลอดภัยด้าน ผลิตภัณฑ์ยาและสาธารณสุขแห่งชาติ (ANSM : เอเอ็นเอสเอ็ม) ของฝรั่งเศส ได้สั่งระงับการขายยา “ไดแอน-35” หลังพบว่าในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ยาดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวโยงกับการเสียชีวิตของผู้หญิง 4 คน และผู้ป่วยอีกเป็น 100 คนที่เกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันนั้น อย. ติดตามตรวจสอบผลการใช้ยาดังกล่าวในไทยแล้ว ปรากฏว่ายังไม่พบรายงานการเสียชีวิตจากการใช้ยาดังกล่าว ขอผู้บริโภคอย่าหวั่นวิตกและเชื่อมั่นในการดำเนินงานของ อย. เพราะ อย. ได้มีการติดตามตรวจสอบผลจากการใช้ยาที่ขึ้นทะเบียนในไทยอย่างเข้มงวด
(สำนักข่าวไทย)
อภ.มั่นใจไม่กระทบกรณีคืนวัตถุดิบผลิตยาพาราเซตามอลกลับจีน
นพ.วิทิต ผอ.อภ. และ ผอ.โรงงานเภสัชกรรมทหาร กล่าวชี้แจงกรณีคืนวัตถุดิบผลิตยาพาราเซตามอล กลับไปให้ 2 บริษัท
ของจีน ว่าทำตามขั้นตอนการตรวจสอบมาตรฐานและคุณภาพยาของ อภ.
และโรงงานเภสัชกรรมทหาร ที่มีการตรวจสอบวัตถุดิบการผลิตยา
ตั้งแต่รับมอบจากบริษัทต้นทางสั่งซื้อ จนถึงขั้นตอนตรวจมอบ
และส่งวัตถุดิบก่อนเข้าโรงงานผลิต เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจในการผลิตยา
อย่างไรก็ตาม การคืนวัตถุดิบไม่ผลกระทบต่อการผลิตยาพาราเซตามอล
เนื่องจากยังมีวัตถุดิบที่สั่งซื้อจากอินเดีย
และมีการตรวจสอบทุกขั้นตอนก่อนการผลิต หากบริษัทที่มีการสั่งซื้อวัตถุดิบ
ตรวจสอบพบยังปฏิบัติไม่ได้มาตรฐาน เตรียมยกเลิกการสั่งซื้อ โดยปี 55 ที่ผ่านมา อภ.มีการผลิตยาพาราเซมอลจำหน่ายใน รพ. และร้านขายยา รวมกว่า 500 ล้านเม็ด (ทีวีช่อง สทท)
อภ.เผยยารักษาโรคเรื้อรังของไทยตีตลาดอาเซียนสร้างรายได้ 80 ล้านบาท
นพ.วิทิต ผอ.อภ.
กล่าวถึงการผลิตยาตีตลาดยาอาเซียนว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก
หลังเดินหน้าผลิตยารักษาโรคเรื้อรัง ส่งออกในกลุ่มประเทศอาเซียน
ทั้งกัมพูชา พม่า ลาว เวียดนาม โดยยาที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่
ยาต้านไวรัสเอดส์ ยารักษาโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ปี 55 ที่ผ่านมา สามารถนำยาของไทย ขึ้นทะเบียนยาในกลุ่มอาเซียน และจำหน่ายสร้างรายได้มากถึงปีละ 80 ล้านบาท ทั้ง
นี้
เนื่องจากส่วนใหญ่มั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานของยาภายใต้การดูแลขององค์การ
เภสัชกรรม มีการจำหน่ายทั้งใน รพ.และร้านขายยา
ซึ่งในสัปดาห์หน้าเตรียมเข้าเจรจากับ อย.ของอินโดนีเซีย
เพื่อขอการขึ้นทะเบียนยา
และอาจมีการร่วมทุนเพื่อการผลิตยาจำหน่ายในอินโดนีเซียด้วย (สำนักข่าวไทย)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น